มะเร็งลำไส้ใหญ่…. ป้องกันได้ก่อนจะมีอาการ

มะเร็งลำไส้ใหญ่

ในปัจจุบัน มะเร็งลำไส้ใหญ่ (colorectal cancer ) ถือว่าพบเจอได้บ่อยมากขึ้นเรื่อยๆเพราะปัจจุบันผู้คนมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปมากจากสมัยอดีต ในประเทศไทย โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่พบมากเป็นอันดับ 1 ในเพศชายและอันดับ 3 ในเพศหญิง (สถิติสถาบันมะเร็งแห่งชาติ) และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงเกิดจากอายุที่มากขึ้น พฤติกรรมการบริโภคอาหารและการดำเนินชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงประวัติพันธุกรรมในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ ยิ่งเพิ่มโอกาสให้มีความเสี่ยงสูงขึ้น


ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่

  1. อายุที่มากขึ้น : พบอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มคนอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป และเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในอายุมากกว่า 50 ปี  แต่ในปัจจุบันเราตรวจพบมะเร็งลำไส้ใหญ่ในผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 40 มากขึ้นทุกวัน
  2. ประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือพูดโดยง่ายว่าถ่ายทอดทางพันธุกรรม
  3. โรคประจำตัวมีภาวะ ลำไส้อักเสบเรื้อรัง (inflammatory bowel disease) ซึ่งการเกิดการอักเสบของโรคนี้เพิ่มโอกาสการเกิดมะเร็งลำไส้มากขึ้น เกือบ 20 เท่า
  4. มีประวัติติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ ซึ่งปกติจะพบที่ผนังลำไส้ใหญ่และไม่ใช่เนื้อร้าย แต่หากเวลาผ่านไป ติ่งเนื้อบางชนิดอาจกลายเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
  5. อาหาร : มักพบมะเร็งลำไส้ใหญ่ในบุคคลที่ชอบรับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง อาหารแปรรูป เนื้อแดง เช่นไส้กรอก เบคอน กุนเชียง อาหารฟาสต์ฟู้ด หรืออาหารที่ผ่านการปิ้งย่างจนไหม้เกรียมเป็นประจำ และกินอาหารที่มีเส้นใยไฟเบอร์น้อยผักผลไม้น้อย
  6. การเคลื่อนไหวร่างกายน้อย : บุคคลที่ขาดการออกกำลังกายหรือมีการเคลื่อนไหวตัวน้อยในแต่ละวัน ทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวน้อย เป็นปัจจัยหนึ่งที่สัมพันธ์ต่อการเกิดมะเร็งลำไส้
  7. การดื่มเหล้าและสูบบุหรี่
  8. การมีน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน

มะเร็งลำไส้ใหญ่ มีอาการอย่างไร

มะเร็งลำไส้ใหญ่ ในระยะเริ่มต้นมักไม่แสดงอาการ เพราะการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่เริ่มต้นจากการมีติ่งเนื้อเล็กๆในลำไส้ ซึ่งถ้าเทียบกับขนาดของลำไส้แล้ว ติ่งเนื้อเล็กๆแทบจะไม่มีอาการใดๆ

มะเร็งลำไส้ใหญ่กว่าจะแสดงอาการให้เห็นชัดเจน ส่วนใหญ่ก้อนจะมีขนาดใหญ่ ก่อเกิดการลุกลาม ถึงจะแสดงอาการ เช่น

  • ถ่ายเป็นเลือด
  • ปวดท้องเรื้อรัง ท้องอืด น้ำหนักลด
  • ท้องผูกสลับท้องเสีย อุจจาระลีบแบน
  • ถ่ายไม่สุด ปวดเบ่งรูทวาร
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า จากภาวะขาดธาตุเหล็กเรื้อรังเพราะสูญเสียธาตุเหล็ก
  • ตรวจอุจจาระพบเลือดปนมากับอุจจาระ (Fecal occult blood + )

วิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่

1.การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ถือเป็นการตรวจมาตรฐานสูงสุดเพื่อวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหญ่ สามารถเห็นลำไส้ใหญ่ได้ทั้งหมด หากพบความผิดปกติเช่นติ่งเนื้อ สามารถทำการตัดติ่งเนื้อนั้นทิ้งและเอาติ่งเนื้อนั้นไปตรวจทางพยาธิยืนยันได้ในทันที ได้ทั้งการวินิจฉัยและการป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ในอนาคต

2.การตรวจหาเลือดในอุจจาระ (Fecal immunochemical test: FIT) สามารถตรวจได้ว่ามี เลือดออกในทางเดินอาหารหรือไม่ แต่วิธีการตรวจนี้ไม่จำเพาะเจาะจงในการวินิจฉัย

3.การตรวจด้วยเครื่อง CT scan จะสามารถวินิจฉัยได้ในกรณีที่ก้อนมีขนาดใหญ่เพียงพอจะมองเห็นจากภาพ CT ไม่สามารถวินิจฉัยได้ในกรณีที่ก้อนมีขนาดเล็ก

4.การตรวจเลือด เพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็งลำไส้ (CEA) โดยปกติไม่ได้ใช้สำหรับการวินิจฉัยมะเร็งลำไส้ใหย่ แต่เอาไว้ใช้ติดตามตามหลังการรักษา


ใครบ้างที่ควรได้รับการส่องกล้องลำไส้ใหญ่

  1. บุคคลที่มีอายุ มากกว่า 45 ปีขึ้นไปแม้ไม่มีอาการ เพราะมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นมะเร็งที่ป้องกันได้ หากตรวจไม่พบความผิดปกติอาจพิจารณาตรวจซ้ำทุก 5-10 ปี
  2. บุคคลที่มีประวัติญาติสายตรงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
  3. บุคคลที่มีอาการผิดปกติ ที่สงสัยมะเร็งลำไส้ใหญ่ เช่นปวดท้องเรื้อรัง ขับถ่ายผิดปกติ ถ่ายปนเลือด โลหิตจาง หรือน้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุ ไม่ว่าจะอายุเท่าใด
  4. เคยได้รับการส่องกล้องลำไส้ใหญ่แล้วตรวจพบติดเนื้อ ควรส่องซ้ำเพื่อเฝ้าระวังการเกิดติ่งเนื้อ

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ 

  1. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง อาหารแปรรูป อาหารฟาสฟู้ด  อาหารปิ้งย่าง
  2. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่
  3. รับประทานผัก ผลไม้มากๆ
  4. ออกกำลังกายเป็นประจำ สม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้
  5. ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ด้วยการส่องกล้อง หากมีอาการหรือมีอายุมากกว่า 45 ปี
Privacy Settings