RSV คืออะไร? วิธีป้องกัน RSV ในเด็กแรกเกิด – 2 ขวบ

RSV คืออะไร

RSV คืออะไร? วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงในเด็กแรกเกิด – 2 ขวบ

RSV หรือ Respiratory Syncytial Virus เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ไวรัสนี้สามารถแพร่กระจายได้ง่ายและมักระบาดในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว RSV เป็นสาเหตุหลักของโรคปอดอักเสบและหลอดลมอักเสบในเด็กเล็ก ทำให้เกิดอาการตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรงถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

เด็กที่ติดเชื้อ RSV ส่วนใหญ่อาจมีอาการคล้ายไข้หวัด แต่ในบางกรณีอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้หายใจลำบากและต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ ด้วยเหตุนี้ การป้องกัน RSV ในเด็กแรกเกิดถึง 2 ปีจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันผ่านวัคซีนและภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป


ทำไมการป้องกัน RSV ในเด็กเล็กจึงสำคัญ?

เด็กเล็กมีความเสี่ยงสูง: เด็กในช่วง 2 ขวบปีแรก กว่า 90% มีโอกาสติดเชื้อ RSV อย่างน้อย หนึ่งครั้ง โดยมากกว่าครึ่งของผู้ติดเชื้อต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และบางรายอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นต้องเข้าห้องไอซียู (ICU) และใส่ท่อช่วยหายใจ

  • • RSV เป็นสาเหตุสำคัญของโรคร้ายแรงในเด็ก: RSV เป็นหนึ่งใน 3 สาเหตุหลัก ของ ปอดอักเสบติดเชื้อ และ หลอดลมอักเสบ ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งอาจนำไปสู่อาการรุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต
  • • การป้องกันที่มีประสิทธิภาพ: ปัจจุบันสามารถลดความเสี่ยงจาก RSV ได้ด้วย ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป ซึ่งสามารถให้กับเด็กตั้งแต่ แรกเกิดถึง 2 ปี โดยมีประสิทธิภาพดังนี้:
    • ✅ ลดโอกาสติดเชื้อ RSV ได้ 79.5%
    • ✅ ลดการนอนโรงพยาบาลจากการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่าง ได้ 83.2%
    • ✅ ลดความรุนแรงและการเข้าห้อง ICU ได้ 75.3%

RSV อาการเริ่มแรก เด็กควรสังเกตอาการอะไรบ้าง?

RSV อาการเริ่มแรกในเด็กอาจมีลักษณะคล้ายไข้หวัดทั่วไป ซึ่งทำให้หลายคนอาจมองข้ามและไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสมตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ตาม อาการ RSV ในเด็กสามารถพัฒนาไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที ดังนั้นการสังเกตอาการตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ปกครองเพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะรุนแรงของโรคนี้


อาการ RSV ในเด็กเบื้องต้น

  • น้ำมูกไหล ไอ จาม คล้ายอาการไข้หวัด ไวรัส RSV มักเริ่มต้นด้วยอาการคล้ายไข้หวัด ซึ่งอาจทำให้ผู้ปกครองเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงโรคหวัดธรรมดา เด็กอาจมีน้ำมูกใสในช่วงแรกและกลายเป็นข้นเมื่ออาการดำเนินต่อไป อาการไออาจเริ่มแห้งและพัฒนาเป็นไอมีเสมหะ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่รุนแรงขึ้น
  • มีไข้ต่ำหรือไข้สูง เด็กที่ติดเชื้อ RSV อาจมีไข้ตั้งแต่ระดับต่ำจนถึงสูง โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ การมีไข้เป็นสัญญาณของร่างกายที่พยายามต่อสู้กับการติดเชื้อ ควรสังเกตอาการร่วม เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือซึมผิดปกติ หากไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียสและไม่ลดลงหลังจากให้ยาลดไข้ ควรพาไปพบแพทย์ทันที
  • หายใจลำบากหรือหายใจมีเสียงหวีด เด็กบางรายที่ติดเชื้อ RSV อาจมีอาการหายใจลำบาก เนื่องจากเชื้อไวรัสส่งผลต่อปอดและหลอดลมขนาดเล็ก เสมหะที่สะสมอาจทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ ส่งผลให้เด็กหายใจลำบากหรือมีเสียงหวีดขณะหายใจ หากพบว่าเด็กมีอาการหายใจหอบ หรือหน้าอกบุ๋มขณะหายใจ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที
  • รับประทานอาหารได้น้อยลง RSV อาจทำให้เด็กมีอาการเบื่ออาหารและรับประทานได้น้อยลง เนื่องจากความไม่สบายตัวจากอาการไข้ น้ำมูกไหล และหายใจติดขัด หากเด็กไม่ยอมกินนม หรือดื่มน้ำได้น้อย ควรสังเกตว่ามีอาการขาดน้ำหรือไม่ เช่น ปากแห้ง ปัสสาวะลดลง หรืออ่อนเพลียผิดปกติ
  • งอแง ร้องไห้มากขึ้น เด็กเล็กที่ติดเชื้อ RSV อาจมีอาการงอแงผิดปกติ เนื่องจากรู้สึกไม่สบายตัว มีไข้ หรือหายใจลำบาก อาจร้องไห้บ่อยขึ้น โดยเฉพาะเวลากลางคืน นอกจากนี้ อาการอ่อนเพลียและไม่สามารถนอนหลับสนิทอาจทำให้เด็กมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป
  • นอนหลับไม่สนิท RSV อาจส่งผลต่อคุณภาพการนอนของเด็ก เนื่องจากอาการน้ำมูกอุดตัน หายใจลำบาก และไอเป็นระยะ เด็กอาจตื่นกลางดึกบ่อยครั้ง หรือมีภาวะหยุดหายใจชั่วคราวในขณะนอนหลับ หากพบว่าเด็กมีปัญหาในการหายใจขณะนอน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีช่วยบรรเทาอาการ

อาการรุนแรงของโรค RSV ในเด็ก

หาก RSV ลุกลามจนเกิดการติดเชื้อรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ อาจสังเกตเห็นอาการต่อไปนี้:

  • หายใจหอบ ถี่ หรือหยุดหายใจเป็นช่วงๆ อาการหายใจหอบเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าระบบทางเดินหายใจของเด็กได้รับผลกระทบจาก RSV อย่างรุนแรง การติดเชื้อไวรัสอาจทำให้หลอดลมอักเสบและมีเสมหะสะสมในปอด ทำให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนลดลง หากเด็กหายใจเร็วมากผิดปกติหรือมีช่วงที่หยุดหายใจชั่วขณะ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
  • ตัวเขียว โดยเฉพาะรอบปากและเล็บ ภาวะตัวเขียวเกิดจากการขาดออกซิเจนในเลือด ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการติดเชื้อ RSV ที่ทำให้ปอดไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ การสังเกตบริเวณริมฝีปาก ปลายเล็บมือ และเล็บเท้าเป็นสิ่งสำคัญ หากพบว่ามีสีคล้ำหรือเปลี่ยนเป็นสีม่วง ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ทันที
  • มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส (โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 3 เดือน) RSV อาจทำให้เกิดไข้สูง ซึ่งในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 เดือน การมีไข้สูงถือเป็นอาการที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากภูมิคุ้มกันของเด็กยังไม่แข็งแรงพอที่จะต้านทานไวรัส หากอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส ควรให้ยาลดไข้และรีบนำเด็กไปพบแพทย์
  • จมูกบานหรือหน้าอกบุ๋มขณะหายใจ หากเด็กมีอาการจมูกบานหรือหน้าอกบุ๋มขณะหายใจ แสดงว่าเขากำลังพยายามหายใจอย่างหนัก ซึ่งอาจเกิดจากการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนล่าง อาการนี้มักพบในเด็กที่มีการติดเชื้อ RSV รุนแรง การสังเกตว่าหน้าอกบุ๋มหรือไม่สามารถทำได้โดยดูขณะเด็กหายใจ หากเห็นกระดูกซี่โครงยุบตัวลงอย่างชัดเจน ควรรีบพาเด็กไปโรงพยาบาลโดยเร็ว หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบนำเด็กส่งโรงพยาบาลทันที

โรค RSV ในเด็ก แพร่กระจายอย่างไร?

RSV สามารถแพร่กระจายได้ง่ายผ่าน:

  • การสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ เช่น น้ำลาย น้ำมูก
  • การหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อ RSV
  • การสัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อไวรัสแล้วนำมาสัมผัสจมูกหรือปาก
  • โรค RSV ในเด็กมักแพร่ระบาดในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่ไวรัสเจริญเติบโตได้ดี

วิธีป้องกันโรค RSV ในเด็กทั่วไป

  •  หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล
  •  หลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปสถานที่แออัด
  •  ทำความสะอาดของเล่นและของใช้เด็กเป็นประจำ
  •  หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการไข้หวัด

ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV และภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป Nirsevimab

  • ปัจจุบัน มีการใช้ ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab) ซึ่งเป็นแอนติบอดีที่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อ RSV ได้ทันทีหลังฉีด โดยให้ผลป้องกันได้สูงถึง 79.5% และลดอัตราการนอนโรงพยาบาลจากการติดเชื้อ RSV ได้ถึง 83.2%
  • RSV เป็นไวรัสที่สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงในเด็กเล็ก โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เด็กคลอดก่อนกำหนดหรือเด็กที่มีโรคประจำตัว ด้วยเหตุนี้ นักวิทยาศาสตร์และแพทย์จึงได้พัฒนาภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปNirsevimab ซึ่งเป็นแอนติบอดีชนิดเฉพาะที่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อ RSV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Nirsevimab เป็นภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปที่ทำงานโดยตรงกับเชื้อ RSV ช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งแตกต่างจากวัคซีนทั่วไปที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเอง ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปนี้สามารถให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วทันทีหลังฉีด ปัจจุบัน มีการใช้ ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab) ซึ่งเป็นแอนติบอดีที่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อ RSV ได้ทันทีหลังฉีด โดยให้ผลป้องกันได้สูงถึง 79.5% และลดอัตราการนอนโรงพยาบาลจากการติดเชื้อ RSV ได้ถึง 83.2% การฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปนี้สามารถครอบคลุมฤดูกาลระบาดของ RSV ได้ยาวนานประมาณ 5 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสมากที่สุด ซึ่งเป็นแอนติบอดีที่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อ RSV ได้ทันทีหลังฉีด โดยให้ผลป้องกันได้สูงถึง 79.5% และลดอัตราการนอนโรงพยาบาลจากการติดเชื้อ RSV ได้ถึง 83.2%

อายุที่สามารถฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV ได้

ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV สามารถฉีดให้กับเด็กตั้งแต่ แรกเกิด – 2 ปี โดยสามารถฉีดได้ทันทีในช่วง ฤดูกาลระบาด เนื่องจากสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ทันทีหลังฉีด ทั้งนี้ ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย แนะนำแนวทางการฉีดดังนี้:

  • ฤดูกาลแรก (เด็กอายุแรกเกิด – 12 เดือน)
    • เด็กแรกเกิดแข็งแรงดีทุกคน: แนะนำให้ฉีดในทารกอายุต่ำกว่า 8 เดือน ทุกราย และอาจพิจารณาฉีดในทารกอายุ 8 – 12 เดือน เนื่องจากกลุ่ม แรกเกิด – 8 เดือน มีโอกาสนอนโรงพยาบาลจาก RSV สูงกว่ากลุ่ม 8 – 12 เดือน ถึง 94%
    • เด็กกลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (แรกเกิด – 12 เดือน):
      • ทารกที่มี โรคปอดเรื้อรังจากภาวะคลอดก่อนกำหนด (BPD) และยังได้รับการรักษาด้วย สเตียรอยด์, ยาขับปัสสาวะ หรือออกซิเจน ในช่วง 6 เดือนก่อนฤดูกาลระบาด
      • เด็กที่มี ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องรุนแรง
      • เด็กที่เป็น โรคซิสติก ไฟโบรซิส (Cystic Fibrosis) รุนแรง เช่น เคยต้องรักษาในโรงพยาบาลจากโรคปอดในปีแรกของชีวิต มีภาพถ่ายทรวงอกผิดปกติ หรือมีภาวะทุพโภชนาการ (น้ำหนักต่ำกว่า 10th percentile)
      • เด็กที่มี โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่ยังต้องรับการรักษา (Hemodynamically significant congenital heart disease) • ช่วงเวลาที่แนะนำ: ฉีดในช่วง มิถุนายน
      • ตุลาคม ของทุกปี
    • ทารกที่เกิดในช่วงฤดูกาลระบาด สามารถรับภูมิคุ้มกันได้ทันทีหลังคลอด
    • ขนาดยาแนะนำ: ขนาดยาและการฉีดขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวและอายุของเด็ก ต้องได้รับการประเมินโดยกุมารแพทย์ ก่อนรับภูมิคุ้มกันทุกครั้ง
  • ฤดูกาลที่สอง (เด็กอายุ 12 – 24 เดือน)
    • เด็กแข็งแรงดีทุกคน: แนะนำให้ฉีดในเด็กอายุ 12 – 24 เดือน
    • เด็กกลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV:
      • เด็กอายุ 12 – 19 เดือน ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อ RSV รุนแรง
      • เด็กอายุ 19 – 24 เดือน ที่มีปัจจัยเสี่ยงรุนแรง อาจพิจารณาฉีดเพิ่มเติม
    • ขนาดยาแนะนำ: ขนาดยาและการฉีดขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวและอายุของเด็ก ต้องได้รับการประเมินโดยกุมารแพทย์ ก่อนรับภูมิคุ้มกันทุกครั้ง

ความปลอดภัยของการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab)

Nirsevimab เป็น ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป ที่ได้รับการรับรองว่ามีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงพบได้น้อย และไม่มีรายงานภาวะแทรกซ้อนรุนแรง โดยอาการที่อาจพบหลังฉีดมีดังนี้:

ผลข้างเคียงที่พบได้แต่น้อย

  1. มีไข้เล็กน้อย (0.5%)
  2. ปวดหรือบวมบริเวณที่ฉีด (0.3%)
  3. ผื่นขึ้น (0.09%)
  4. อาเจียน (0.2%)
  5. รู้สึกไม่สบายตัว (0.2%)
  6. ปลอดภัย ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง สามารถฉีดเพื่อปกป้องลูกน้อยจาก RSV ได้อย่างมั่นใจ

ข้อห้ามในการฉีดภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab)

ไม่ควรฉีดในเด็กที่มีประวัติแพ้รุนแรง ต่อ Nirsevimab หรือ ส่วนประกอบของยา ได้แก่:

  • Arginine
  • Histidine

หมายเหตุ: หากเด็กเคยมีอาการแพ้รุนแรงต่อวัคซีนหรือยาใดๆ ควรแจ้งแพทย์ก่อนรับการฉีด เพื่อประเมินความปลอดภัยและพิจารณาทางเลือกในการป้องกัน RSV ที่เหมาะสม


ประโยชน์ของการรับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV (Nirsevimab) ในเด็ก

แม้ว่าเด็กจะเคยติดเชื้อ RSV มาก่อน หรือเคยได้รับภูมิคุ้มกันแล้ว การฉีด Nirsevimab ยังคงมีความสำคัญ เนื่องจากให้การป้องกันที่ครอบคลุมและลดผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

  1. ลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทางเดินหายใจในระยะยาว
    • แม้หายจากการติดเชื้อ RSV แล้ว เด็กบางรายอาจยังมี ภาวะหลอดลมไวเกิน, หอบหืด หรือการทำงานของปอดที่บกพร่อง ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพในอนาคต
    • การป้องกันการติดเชื้อซ้ำ ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะเหล่านี้ และส่งเสริมสุขภาพทางเดินหายใจที่ดีในระยะยาว
  2. ลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว
    • RSV เป็นหนึ่งในโรคที่ทำให้เด็กต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลมากที่สุด การฉีดภูมิคุ้มกันช่วยลดโอกาสการป่วยหนัก ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลโดยตรง
    • ลดค่าใช้จ่ายทางอ้อม เช่น ค่าลาหยุดงานของพ่อแม่ เพื่อมาดูแลลูกที่ป่วย
  3. ลดภาระค่าใช้จ่ายของระบบสาธารณสุข
    • ค่ารักษาพยาบาลสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีที่ติดเชื้อ RSV ในประเทศไทยสูงถึง 1.75 พันล้านบาทต่อปี
    • เด็กที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล มีระยะเวลาการพักรักษาเฉลี่ย 6 วัน การป้องกัน RSV ด้วย Nirsevimab เป็นทางเลือกที่ช่วยลดภาระทั้งต่อครอบครัวและสังคม ทำให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรง ลดโอกาสการติดเชื้อซ้ำ และมีพัฒนาการที่ดีขึ้น

สรุปความสำคัญของการป้องกัน RSV ในเด็ก

  • ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับทารกตั้งแต่แรกเกิด โดยเฉพาะในขวบปีแรก ซึ่งเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ RSV สูง
  • เด็กอายุ แรกเกิด – 2 ปี รวมถึงเด็กที่มีโรคประจำตัว สามารถรับ ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV ได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
แหล่งที่มา: 
Privacy Settings