ทำความรู้จักกับแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร H.pylori ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

Helicobacter Pylori

อาการปวดท้อง แสบท้อง ท้องอืด จุก แน่น ที่คนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบนั้น แท้จริงแล้วอาจไม่ได้เป็นเพียงโรคกระเพาะอาหารอักเสบธรรมดา ปัจจุบันมีการค้นพบแล้วว่าการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Helicobacter pylori หรือ H.pylori เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักของการเกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ให้กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังเป็นระยะเวลานานๆ อาจก่อให้แผลในกระเพาะอาหาร และเชื้อนี้เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร ( gastric cancer ) อีกด้วย


อะไรคือเชื้อแบคทีเรีย H. Pylori (เอชไพโลไร)? 

H. Pylori หรือเชื้อเอชไพโลไร เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะอาศัยอยู่ภายในระบบทางเดินอาหาร ติดต่อผ่านทางอาหารการกินเป็นหลัก โดยเชื้อเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะไปอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหาร พบว่ากว่า50%ของประชากรโลกมีการติดเชื้อนี้ โดยเฉพาะประเทศแถบเอเชียจะพบการติดเชื้อชนิดนี้ได้มากกว่าประเทศทางตะวันตก ส่วนใหญ่ของผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการ แต่บางรายเชื้ออาจทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นรวมถึงมะเร็งกระเพาะอาหารด้วย


ปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อ H.Pylori

คนทุกเพศทุกวัยมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อH.pylori ทั้งสิ้น ทั้งที่มีอาการและไม่มีอาการ โดยเชื้อนี้จะผ่านจากการรับประทานเป็นหลัก เช่น

  1. รับประทานอาหารดิบ กึ่งสุกกึ่งดิบ หรือของหมักดองต่างๆ รวมถึงผักสดที่ล้างไม่สะอาดเป็นประจำ อาหารแช่เย็นจากกระบวนการผลิตที่ไม่สุก ไม่สะอาดเพียงพอ ทำให้มีแบคทีเรียเจือปน
  2. ดื่มน้ำไม่สะอาด ผ่านเครื่องกรองที่ไม่ถูกสุขลักษณะ
  3. อุปกรณ์ประกอบอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ
  4. อาศัยในสิ่งแวดล้อมหรือรับประทานอาหารร่วมกับผู้ติดเชื้อโดยไม่ใช้ช้อนกลาง เนื่องจากเชื้อเอชไพโลไร สามารถติดต่อได้ผ่านทางน้ำลาย

เชื้อนี้ติดต่อโดยการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ ผ่านเข้าไปในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น โดยเชื้อจะเข้าไปทำให้กรดในกระเพาะอาหารหลั่งมากขึ้น ทำให้ผิวกระเพาะอาหารบางลง รวมถึงน้ำย่อยต่างๆ ทำลายเนื้อเยื่อกระเพาะและลำไส้เล็ก จนก่อให้เกิดการอักเสบ 


อาการของการติดเชื้อ H.pylori

ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ (Asymptomatic) ในกลุ่มคนที่มีอาการจะมีอาการแสดงที่มากน้อยแตกต่างกันไป โดยอาการที่พบได้บ่อยคือ

  1. อาการปวดท้อง หรือแน่นท้อง โดยเฉพาะบริเวณยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบ รับประทานยาลดกรดไม่หายเพราะต้องรับประทานยาฆ่าเชื้อ
  2. อาการจุก เสียด คลื่นไส้  ท้องอืด เรอ หรือมีลมแน่น รับประทานอาหารได้น้อยลง อิ่มเร็วขึ้น หรืออาการแน่นหลังจากรับประทานแม้ทานไม่มาก
  3. เลือดออกในทางเดินอาหาร เช่น ถ่ายอุจจาระมีสีดำ หรืออาการที่มีผลจากภาวะโลหิตจาง เนื่องจากเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหาร
  4. ผู้ป่วยกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังบางราย มีบางส่วนที่อาจเปลี่ยนเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารจากการติดเชื้อ H.pylori

เมื่อไหร่ที่ต้องตรวจหาการติดเชื้อ H.pyloriและใครบ้างที่ต้องตรวจและควรได้รับการรักษา?

แนะนำให้ตรวจเมื่อผู้ป่วยมีอาการ

  1. โรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังมากกว่า 1 เดือน หรือรับประทานยาลดกรดต่อเนื่อง 2 สัปดาห์แล้วยังไม่ดีขึ้น
  2. ผู้ที่เคยมีประวัติติดเชื้อมาก่อน และมีอาการเป็นซ้ำ
  3. ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร รวมถึงผู้ที่มีความกังวลว่าอาจเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร
  4. ผู้ที่อาศัยอยู่กับคนที่ติดเชื้อ Pylori หรือรับประทานอาหารด้วยกันเป็นประจำ

อย่างไรก็ตามผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหารก็ไม่ได้มาจากการติดเชื้อ H.pylori ทุกคน โดยสาเหตุสำคัญอีกประการที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารคือ ยา เช่น ยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDS , เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น


ได้อย่างไรว่าติดเชื้อนี้หรือไม่?

การตรวจหาการติดเชื้อมีทั้งแบบการส่องกล้องทางเดินอาหารและไม่ส่องกล้องทางเดินอาหาร  ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันดังต่อไปนี้

  1. การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น
    • ข้อดี : สามารถประเมินเห็นลักษณะผิวกระเพาะอาหารได้ด้วยตาว่ามีความผิดปกติหรือไม่อย่างไร พบเห็นการอักเสบจากภาพการส่องกล้อง (Endoscopic finding) มากน้อยแค่ไหน เป็นแผลในกระเพาะอาหาร รวมถึงมีก้อนมะเร็งร่วมด้วยหรือไม่ สามารถนเยื่อบุกระเพาะอาหารมาตรวจการหาการติดเชื้อและดูว่าเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหารมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไร สามารถตรวจได้เลยโดยไม่ต้องหยุดยาลดกรดหรือยาฆ่าเชื้อก่อนการตรวจแต่อย่างใด ความไวและความแม่นยำ มากกว่าวิธีอื่นๆ
    • ข้อด้อย : มีราคาแพงกว่าวิธีอื่น
  2. การตรวจวิธีอื่นที่ไม่ต้องส่องกล้องทางเดินอาหาร เช่น
    1. การตรวจลมหายใจ (Urea Breath test)
      • ข้อดี : เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก มีความไวสูงถึง 88-96% และความแม่นยำสูง
      • ข้อด้อย : ไม่สามารถทราบถึงลักษณะผิวกระเพาะอาหารว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด และต้องหยุดยาฆ่าเชื้ออื่นๆหรือยาลดกรดบางอย่างก่อนเข้ารับการตรวจ โดยหยุดยานานถึง 2-4 สัปดาห์
    2. การเก็บอุจจาระ ( stool AG H.pylori)
      • ข้อดี : เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก ราคาถูก ความแม่นยำสูงมากกว่า 90-95%
      • ข้อด้อย : ไม่สามารถทราบถึงลักษณะผิวกระเพาะอาหารว่ามีการเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด และต้องหยุดยาฆ่าเชื้ออื่นๆหรือยาลดกรดบางอย่างก่อนเข้ารับการตรวจ โดยหยุดยานานถึง 2-4 สัปดาห์ หากเก็บอุจจาระไม่ถูกวิธี ผลตรวจอาจมีการคลาดเคลื่อน
    3. การเจาะเลือด (serum H.pylori igG + current infection)
      • ข้อดี : เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก ราคาถูก ความแม่นยำสูง70- 90%
      • ข้อด้อย : การตรวจแอนติบอดี้ในเลือด ตรวจหาแอนติบอดีต่อเอชไพโลไรในเลือด แม้จะยืนยันการสัมผัสเชื้อได้ แต่ไม่สามารถแยกระหว่างการติดเชื้อที่ยังมีเชื้ออยู่หรือการติดเชื้อในอดีต การพบผลบวกจึงต้องยืนยันด้วยการตรวจอื่นเพื่อหาการติดเชื้อที่ยังคงอยู่

การรักษา

รับประทานยาฆ่าเชื้อหลายชนิดเป็นระยะเวลาประมาน 10-14 วัน โดยอยู่ในความดูแลของแพทย์โดยหลังการรักษาแล้วผู้ป่วยควรกลับมาพบแพทย์อีกครั้งเพื่อตรวจหาเชื้อซ้ำว่ายังมีเชื้อคงเหลือหรือไม่เพราะผู้ป่วยบางส่วนอาจยังพบเชื้อหลงเหลืออยู่ แม้รับประทานยาไปแล้ว ผู้ป่วยควรพบแพทย์ตามนัดเพื่อยืนยันการตรวจว่ารักษาจนไม่พบเชื้อแล้ว เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ


โรคติดเชื้อ H. Pylori มีการดูแลตนเองและการป้องกันอย่างไร?

การดูแลสุขอนามัยที่ดี ด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน ก็จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อลงได้ เช่น

  • ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนและหลังรับประทานอาหาร
  • รับประทานอาหารโดยใช้ช้อนกลาง
  • ไม่ใช้ภาชนะซ้ำกับผู้อื่นโดยไม่ผ่านการล้าง
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารและน้ำที่ไม่สะอาด
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงไม่สุก เป็นต้น

***องค์การอนามัยโลกจัดให้เชื้อ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของมะเร็งกระเพาะอาหาร ผู้ติดเชื้อนี้ มีความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารสูงกว่าผู้ไม่ติดเชื้อประมาน 3-9 เท่า ดังนั้นการตรวจและการรักษา Helicobacter Pylori จึงเป็นการลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร ***

Privacy Settings