อาการปวดศีรษะ เป็นโรคยอดฮิตของทุกเพศทุกวัย โดยอาการปวดศีรษะส่วนใหญ่ที่พบได้บ่อยมักเป็นชนิดไม่รุนแรง สามารถรักษาได้ด้วยการดูแลตัวเอง หรือรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการ แต่ในบางกรณี อาจเกิดจากเนื้องอกในสมอง หรือโรคร้ายแรงอื่น ๆ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ควรรู้ คือ อาการปวดแบบไหนเป็นชนิดไม่รุนแรง และอาการปวดแบบไหนเป็นอันตรายควรรีบพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาอย่างทันท่วงที
โดยทั่วไป การปวดศีรษะสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก
1. กลุ่มที่ไม่มีรอยโรคในสมอง ศีรษะ หรือ คอ (Primary Headache)
กลุ่มนี้เป็นอาการปวดศีรษะที่ไม่ร้ายแรง มักเกิดขึ้นเป็นๆ หายๆ โดยอาการจะหายสนิทในช่วงที่ไม่มีการปวด ได้แก่:
1.1 ไมเกรน (Migraine)
ไมเกรนมักพบในคนอายุน้อยถึงวัยกลางคน มีอาการปวดศีรษะข้างเดียว บริเวณขมับ หรือท้ายทอย ร้าวไปยังเบ้าตา ปวดตุบๆ ตามจังหวะชีพจร ปวดมากขึ้นหลังทำกิจวัตรประจำวัน และมักมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย บางคนไม่ทนแสงจ้าและเสียงดัง โดยระยะเวลาของอาการปวดสามารถยาวนานตั้งแต่ 4 ชั่วโมงจนถึง 3 วัน สาเหตุ: เชื่อว่าเกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือดที่อยู่ใกล้กับเยื่อหุ้มสมองหลังจากได้รับการกระตุ้น เช่น:
- การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในผู้หญิง (เช่น ช่วงใกล้ประจำเดือน)
- อาหารบางชนิด (เช่น กาแฟ, ช็อคโกแลต, ชีส, แอลกอฮอล์)
- การไม่สบายร่างกายหรือจิตใจ (เช่น นอนไม่พอ, ทานอาหารไม่ตรงเวลา)
- สิ่งแวดล้อม (เช่น อากาศร้อน, แสงจ้า, เสียงดัง)
1.2 ปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงตัว (Tension-type Headache)
เป็นอาการปวดศีรษะที่มักเกิดจากความเครียดหรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ อาการปวดจะรู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างมารัดรอบศีรษะ และบางคนอาจรู้สึกปวดที่คอ บ่า สะบัก
1.3 ปวดศีรษะคลัสเตอร์ (Cluster Headache)
ปวดศีรษะข้างเดียวโดยมีลักษณะเฉพาะคือ ปวดรุนแรงบริเวณเบ้าตา ร้าวไปขมับเหมือนมีอะไรแหลมๆ แทงเข้าตา อาการมักเกิดเป็นระยะเวลา 15 นาที ถึง 3 ชั่วโมง และมักเกิดหลายครั้งในช่วงเวลาเดียวกัน ติดกันหลายวันหรือหลายสัปดาห์ สาเหตุ: เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับสมองส่วนที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย (Hypothalamus) ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเส้นประสาทสมองที่ 5 ซึ่งควบคุมการรับความรู้สึกในใบหน้า และอาจมีอาการร่วม เช่น ตาบวม น้ำมูกไหล หรือคอแข็ง
2. กลุ่มที่มีรอยโรคในสมอง ศีรษะ หรือ คอ (Secondary Headache)
โรคในกลุ่มนี้มักมีสาเหตุจากโรคที่ร้ายแรง เช่น เนื้องอกในสมอง, เยื่อหุ้มสมองอักเสบ, หลอดเลือดสมองโป่งพอง, หลอดเลือดอักเสบ, หรือการบาดเจ็บในสมอง เป็นต้น อาการปวดหัวในกลุ่มนี้มักมีความรุนแรงและเกิดขึ้นทันที เช่น ปวดมากขึ้นในระยะเวลาเพียงไม่นาน หรือปวดหลังจากไม่เคยปวดมาก่อน และอาจมีอาการร่วมทางระบบประสาท เช่น อ่อนแรง พูดไม่ชัด หรือมีอาการคลื่นไส้
การสังเกตอาการปวดศีรษะที่อาจเป็นอันตราย
- อาการปวดหัวเกิดขึ้นทันทีและรุนแรง เช่น ภายใน 1 นาทีจากที่ไม่ปวดเลย กลายเป็นปวดอย่างรุนแรง
- ปวดศีรษะครั้งแรกหลังอายุ 50 ปี
- รูปแบบของอาการเปลี่ยนไป เช่น ความรุนแรงมากขึ้น, ตำแหน่งปวดเปลี่ยนไป, ระยะเวลานานขึ้น หรือมีอาการตื่นขึ้นจากการปวด
- อาการร่วมทางระบบประสาท เช่น อ่อนแรง เห็นภาพซ้อน หรือคอแข็ง
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ภูมิคุ้มกันต่ำ ควรสงสัยอาการติดเชื้อแทรกซ้อน
กลุ่มอาการออฟฟิศ (Office Syndrome)
ปวดศีรษะจากการทำงานที่มักเกิดจากการใช้งานคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือในท่าทางที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดอาการปวดคอ บ่า ไหล่ และอาจลามไปถึงอาการปวดหลัง ชามือ หรือชาขา วิธีการรักษา:
- หยุดพักสายตาทุก 1 ชั่วโมง 5 นาที
- ลุกจากเก้าอี้เพื่อยืดเส้น ยืดสาย
- ให้ความสำคัญกับการนั่งท่าทางที่ถูกต้องและการพักผ่อนที่เพียงพอ
การรักษาและการป้องกันโรคปวดหัวในกลุ่มนี้สามารถทำได้ง่ายๆ โดยการปรับพฤติกรรมการทำงานและพักผ่อนอย่างเหมาะสม