ไขมันพอกตับ อันตรายแม้ไม่มีอาการ

ไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับ หรือไขมันเกาะตับ (Fatty Liver Disease)

เป็นกลุ่มของโรคที่เกิดจากการสะสมไขมันในตับมากเกินปกติ คนไข้มักไม่มีอาการ คือคนไข้มักไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ทำให้คนไข้หลายกลุ่มที่อาจเป็นไขมันพอกตับโดยไม่รู้ตัวเพราะไม่เคยได้รับการตรวจสุขภาพการทำงานของตับ และอาจเป็นภัยเงียบที่ทำให้เราไม่รู้ตัวว่าสุขภาพตับไม่ปกติ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการดูแลรักษา อาจทำให้ตับเกิดพังผืด ก่อกำเนิดตับแข็ง และเปลี่ยนแปลงเป็นมะเร็งตับ โดยที่เราไม่รู้ตัว


ภาวะไขมันพอกตับ

ในประชากรโลกพบมากขึ้น ถึงประมาน20- 25 %ของประชากร และปัจจุบันในประชากรไทยแม้ยังไม่มีตัวเลขชัดเจนแต่คาดการณ์ว่าพบไขมันพอกตับมากขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากวิถีการดำเนินชีวิต การเลือกรับประทานอาหารที่มักมีส่วนประกอบของน้ำตาล แป้ง ไขมันในปริมานที่สูงขึ้น และจะพบไขมันพอกตับมากขึ้นอย่างชัดเจนในคนไข้กลุ่มเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ดื่มแอลกอฮอล์ โรคอ้วน เป็นต้น 


ความสำคัญของโรคไขมันพอกตับ

นอกจากจะก่อให้เกิดตับอักเสบ พังผืดเกาะตับ ตับแข็ง และอาจเปลี่ยนแปลงเป็นมะเร็งตับได้ในอนาคตโดยที่เราไม่รุ้ตัวแล้วนั้น ไขมันพอกตับ ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคและการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular disease) เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น  


สาเหตุของไขมันพอกตับ อาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ 

  1. 1.จากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์(Alcohol-related Fatty Liver Disease)
    • การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากและเป็นเวลานานสามารถทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับได้
  2. 2.ไม่ได้เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (Non-alcoholic Fatty Liver Disease : NAFLD) หรือในปัจจุบันมีการเปลี่ยนชื่อเป็น Metabolic-associated Fatty Liver disease (MAFLD) เพื่อให้สอดคล้องกับที่มาของโรคมากขึ้น กลุ่มคนเหล่านี้ได้แก่
    • โรคอ้วน ผู้ที่มีดัชนีมวลกายสูง มากกว่า 25 ( BMI > 25 ) หรือ เส้นรอบเอว มากกว่า 90 CM ( 36 นิ้ว) ในผู้ชาย หรือ มากกว่า 80 CM (32นิ้ว) ในผู้หญิง
    • โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
    • ผู้ที่มีพฤติกรรมการบริโภคและการปฎิบัติตัวที่มีความเสี่ยง เช่น
      • รับประทานอาหารพลังงานสูง เช่น แป้ง ข้าว น้ำตาล ของหวาน ของทอด ของมัน อาหารแปรรูป เป็นประจำ พลังงานที่เหลือจะถูกเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปสะสมในตับ
      • ผู้ที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหว ขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น
    • ผู้ที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B , C
    • ผู้ได้รับยาบางชนิด ที่อาจก่อให้เกิดไขมันพอกตับได้

อาการของไขมันพอกตับ

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น อาการของไขมันพอกตับในระยะแรกจะ “ไม่มีอาการ” มักเป็นการตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพหรือการเจาะเลือด แต่หากปล่อยทิ้งไว้นาน ปริมานไขมันสะสมในตับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนเกิดภาวะตับอักเสบหรือพังผืด คนไข้อาจจะมีอาการเช่น

  • เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เพราะตับเป็นอวัยวะหลักในการสร้างและเก็บสะสมพลังงานของร่างกาย
  • หากปล่อยทิ้งไว้จนเกิดมีพังผืด จนตับแข็ง คนไข้อาจมีอาการขาบวม ตัวเหลืองตาเหลือง ท้องโต เป็นต้น

ระยะของไขมันพอกตับ

สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะ คือ

  1. Simple Fatty Liver (Steatosis) – .ระยะที่มีไขมันก่อตัวอยู่ในเนื้อตับ แต่ผลเลือดยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ
  2. Non-Alcoholic Steatohepatitis (NASH) – .เริ่มมีการอักเสบของตับ ผลเลือดพบค่าการทำงานตับผิดปกติ
  3. Liver Fibrosis – ตับอักเสบเรื้อรังส่งผลให้เกิดพังผืดในเนื้อตับ เซลล์ตับจะค่อยๆถูกทำลาย
  4. Cirrhosis– เซลล์ตับถูกทำลายไปมาก ก่อให้เกิดตับแข็งและมะเร็งตับได้ในอนาคต


เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามีไขมันพอกตับ

  1. การตรวจอัลตราซาวนด์บริเวณช่องท้อง (ultrasound upper abdomen) จะพบว่าตับอาจมีขนาดโตขึ้นและมีลักษณะขาวขึ้นกว่าปกติ แต่การอัลตราซาวน์เพียงอย่างเดียวอาจประเมินระดับความรุนแรงได้ไม่มากพอ
  2. การตรวจfibroscan เพื่อวัดระดับปริมานไขมันสะสมและประเมินภาวะพังผืดในเนื้อตับ เป็นการตรวจที่ละเอียดมากขึ้น เพื่อวัดระดับความรุนแรงของไขมันพอกตับ
  3. การตรวจเลือดเพื่อดูค่าการทำงานของตับ (liver function test)
  4. การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 5.การเจาะชิ้นเนื้อตับ

การป้องกันโรคไขมันพอกตับ

  • รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง (High Fat) เช่น อาหารมัน ของทอด ของหวาน เบเกอรี่ อาหารที่ประกอบด้วยแป้งและน้ำตาลที่สูง อาหารแปรรูป เปลี่ยนมารับประทานอาหารที่มีโปรตีนที่มีคุณภาพ และผักต่างๆ ให้มากขึ้น
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ
  • ผู้ป่วยที่มีเบาหวานหรือไขมันในเลือดสูง ควรควบคุมโรคให้ดีด้วยการรับประทานยาตามแพทย์สั่ง ร่วมกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
  • ลด/เลิกสูบบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
  • ตรวจสุขภาพประจำปี
    • เพื่อเฝ้าระวังก่อนที่จะเริ่มมีอาการหรือสายเกินไป เพราะภาวะไขมันพอกตับในระยะแรกๆสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรม กลับมาสู่ภาวะตับที่ปกติได้

**ไขมันพอกตับ อย่ารอให้มีอาการ หากเป็นผู้มีความเสี่ยงหรือต้องการตรวจสภาพการทำงานของตับ ควรเข้ารับการให้คำปรึกษาและตรวจวินิจฉัยโดยละเอียด  หากพบไขมันพอกตับระยะเริ่มต้น สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค และการใช้ชีวิต เพื่อสุขภาพตับที่แข็งแรงสมบูรณ์ ป้องกันการเกิดตับแข็ง และมะเร็งตับในอนาคต **

Privacy Settings