อาการปวดหลังหรือปวดหลังร้าวลงขาไม่ควรชะล่าใจ เพราะอาจเป็นสัญญาณของกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท หากไม่รีบรักษาอาจส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันในระยะยาว
สาเหตุกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท
สาเหตุของอาการปวดหลังในผู้ป่วยกระดูกสันหลังเคลื่อนมักเกิดจากความไม่มั่นคง (Instability) ของแนวกระดูกสันหลัง ซึ่งมักเริ่มจากหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม ตามด้วยข้อต่อกระดูกสันหลังเสื่อม ส่งผลให้กระดูกสันหลังเกิดการ “เลื่อน” ซึ่งเมื่อกระดูกสันหลังเกิดการเลื่อนตัวออกจากกันจะทำให้เกิดการตีบแคบของโพรงเส้นประสาท และเมื่อมีการตีบแคบลงจนกระทั่งเกิดการกดทับเส้นประสาทจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดร้าวลงขา ชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือมีปัญหาการควบคุมระบบขับถ่ายตามมาในที่สุด
กลุ่มเสี่ยงกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท
โรคกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท (Spondylolisthesis) พบได้บ่อยทั้งในวัยรุ่นและวัยผู้สูงอายุ
-
กลุ่มผู้ป่วยอายุน้อย มักมีสาเหตุจากการแตกหักของชิ้นส่วนกระดูกสันหลัง (Spondylolysis) ซึ่งอาจเกิดจากการเจริญที่ไม่สมบูรณ์ของชิ้นกระดูกสันหลังตั้งแต่วัยเด็ก หรืออาจเกิดจากอุบัติเหตุและการกระแทกในการเล่นกีฬา เช่น ยิมนาสติก ยกน้ำหนัก
-
กลุ่มผู้ป่วยสูงอายุ ภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อนมักเกิดจากความเสื่อมของแนวกระดูกสันหลัง ทั้งในบริเวณหมอนรองกระดูกและข้อต่อกระดูกสันหลัง ทำให้กระดูกสันหลังเกิดความไม่มั่นคงและส่งผลให้มีการเลื่อนของชิ้นกระดูกสันหลังตามมาในที่สุด
อาการกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท
-
อาการทั่วไป อาการของผู้ป่วยกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาทมักมี 2 อาการหลัก ได้แก่
-
ปวดหลัง
-
ปวดร้าวลงขา
-
แม้ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีอาการทั้งสองอย่างร่วมกันแต่ทั้งสองอาการไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นด้วยกันอาจแตกต่างกันตรงที่บางคนมีอาการหลักเป็นอาการปวดหลังบางคนอาจมีอาการหลักเป็นการปวดร้าวลงขา
-
อาการรุนแรง ผู้ป่วยที่มีกระดูกสันหลังเคลื่อนส่วนหนึ่งอาจไม่มีอาการใด ๆ และตรวจพบโดยบังเอิญจากภาพถ่ายรังสีเอกซเรย์ อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยกระดูกสันหลังเคลื่อนเมื่อเป็นมากขึ้นมักทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้
-
ปวดตึงกล้ามเนื้อบริเวณหลังส่วนล่าง สะโพก และต้นขาด้านหลัง
-
ปวดหลังบริเวณบั้นเอวส่วนล่างเวลาก้มหรือแอ่นหลัง อาการปวดดีขึ้นเมื่อได้นอนหรือนั่งพัก
-
ถ้าอาการกระดูกสันหลังเคลื่อนเป็นมากขึ้นจนกดทับเส้นประสาท อาจทำให้มีอาการปวดร้าวลงขา ชาขาหรือชาเท้า กล้ามเนื้อขาอ่อนแรง รวมถึงมีปัญหาในการขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ
-
ตรวจวินิจฉัยกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท
ในกรณีที่สงสัยภาวะกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท แพทย์จะทำการตรวจด้วยการตรวจร่างกาย การถ่ายภาพรังสีเอกซเรย์ การทำ CT Scan และการทำ MRI ได้แก่
-
ภาพถ่ายรังสีเอกซเรย์ในผู้ป่วยหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท
-
ตรวจรอยหักของกระดูกสันหลังในชิ้นส่วนกระดูกที่เรียกว่า Pars Interarticularis
-
ตรวจการเคลื่อนตัวออกจากกันของแนวกระดูกสันหลัง
-
ตรวจความไม่มั่นคงของกระดูกสันหลังในภาพถ่ายท่าก้มและแอ่นหลัง (Flexion – Extension Lateral View)
-
CT Scan ในผู้ป่วยหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท
-
ตรวจความผิดปกติของชิ้นส่วนกระดูกสันหลังได้ละเอียดกว่าการถ่ายภาพรังสีเอกซเรย์ทั่วไป
-
ช่วยวางแผนการผ่าตัดโดยละเอียด
-
MRI ในผู้ป่วยหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท
-
สามารถมองเห็นส่วนประกอบที่เป็นเนื้อเยื่อบริเวณรอบกระดูกสันหลัง เช่น หมอนรองกระดูก เส้นประสาท กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น
-
สามารถมองเห็นหมอนรองกระดูกที่เคลื่อนไปกดทับเส้นประสาท เพื่อนำไปช่วยตัดสินใจวางแผนการผ่าตัด
-
ทำไมต้องรักษากระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท
-
ลดอาการปวด
-
ซ่อมแซมกระดูกส่วนที่หักบริเวณ Pars Interarticularis (ไม่สามารถทำได้ในทุกเคส)
-
แก้ไขอาการเส้นประสาทไขสันหลังโดนกดทับ
-
จัดเรียงแนวกระดูกที่เคลื่อนให้กลับมาเรียงตัวตามปกติ
วิธีรักษากระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท
วิธีรักษาโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท ได้แก่
-
การรักษาโดยไม่ผ่าตัด
การรักษาโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท ส่วนใหญ่มักเริ่มจากการรักษาโดยการไม่ผ่าตัดก่อนเสมอ ซึ่งผู้ป่วยกระดูกทับเส้นประสาทรักษาด้วยวิธีการรักษาแบบไม่ผ่าตัดโดยส่วนมากอาการจะดีขึ้น ได้แก่-
พักกิจกรรมหรือกีฬาที่จำเป็นต้องใช้หลังอย่างหนักหรือใช้เป็นเวลานาน
-
ใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs (Nonsteroidal Anti – Inflammatory Drugs) ได้แก่ ยา Paracetamol, Ibuprofen, Diclofenac, Arcoxia และ Celebrex
-
การทำกายภาพบำบัดเพื่อเน้นการเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลัง หน้าท้อง สะโพก และต้นขาด้านหลัง
-
ใส่อุปกรณ์พยุงหลัง (Lumbar Support) เพื่อลดการเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลังส่วนเอว
-
-
การรักษาโดยวิธีอินเตอร์เวนชัน (Spinal Intervention Pain Management)
การรักษาที่เน้นบรรเทาอาการปวดซึ่งเป็นอาการหลักของโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาทโดยเป็นการรักษาที่ใช้เข็มในการรักษาอาจเป็นการใช้เข็มเข้าไปฉีดยาหรือจี้ไฟฟ้าในบริเวณโดยรอบกระดูกสันหลังเพื่อยับยั้งอาการปวดซึ่งเกิดจากการกดทับเส้นประสาทหรือการอักเสบของข้อต่อกระดูกสันหลังการรักษาด้วยวิธีอินเตอร์เวนชันเป็นที่นิยมมากในต่างประเทศจนกลายเป็นหนึ่งในมาตรฐานการรักษาโรคทางกระดูกสันหลังในปัจจุบัน -
การรักษาโดยการผ่าตัด
หากผู้ป่วยรับประทานยาแก้ปวด ทำกายภาพบำบัด และรักษาโดยวิธีอินเตอร์เวนชัน (Intervention) แล้วร่างกายไม่ตอบสนองต่อการรักษา แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัดกระดูกสันหลังให้กับผู้ป่วย โดยการผ่าตัดโรคกระดูกสันหลังทับ เส้นประสาทรักษาด้วยการผ่าตัด มีข้อบ่งชี้ดังนี้-
ผู้ป่วยกระดูกสันหลังเคลื่อนมากหรือมีแนวโน้มเคลื่อนมากขึ้นในอนาคต
-
ปวดหลังมาก ไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยวิธีอื่น
-
เส้นประสาทโดนกดทับอย่างรุนแรง
-
ข้อดีของการผ่าตัดกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท
-
ขยายโพรงเส้นประสาทที่ตีบแคบ (Decompression) ลดอาการปวดร้าวลงขา ชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง และปัญหาการควบคุมระบบขับถ่าย
-
แก้ไขภาวะความไม่มั่นคงของกระดูกสันหลัง (Restabilization) เพื่อลดอาการปวดหลังอันเกิดจากการเคลื่อนของแนวกระดูกสันหลัง
-
ปรับสมดุลของแนวกระดูกสันหลัง (Realignment) ในกรณีที่ผู้ป่วยมีการเสียสมดุลของแนวกระดูกสันหลังโดยรวม เช่น มีกระดูกสันหลังคด และ/หรือกระดูกสันหลังโก่ง
ทางเลือกการผ่าตัดกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท
-
การผ่าตัดเพื่อขยายโพรงเส้นประสาทอย่างเดียว (Decompression Alone) เป็นการผ่าตัดแก้ไขอาการปวดร้าวลงขา ชา และกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยการผ่าตัดส่องกล้องขยายโพรงเส้นประสาท (Microscopic หรือ Endoscopic Decompression) เป็นการผ่าตัดกระดูกทับเส้นที่บาดเจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว ลดภาวะแทรกซ้อนในการผ่าตัด ซึ่งเป็นการผ่าตัดผ่อนกล้อง ทำให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก เหมาะกับผู้ป่วยโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาทที่ปวดหลังน้อยและกระดูกสันหลังเคลื่อนไม่มาก เพราะการผ่าตัดชนิดนี้ไม่สามารถแก้ไขความไม่มั่นคงของแนวกระดูกสันหลังได้
การผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง (Fusion Surgery) เป็นการผ่าตัดเชื่อมกระดูกสันหลังที่เกิดการเลื่อนให้ยึดติดเป็นชิ้นเดียวกันเพื่อลดอาการปวดหลังที่เกิดจากความไม่มั่นคงของกระดูกสันหลัง โดยแพทย์จะพิจารณาแนะนำการผ่าตัดเชื่อมข้อในผู้ป่วยกระดูกสันหลังเคลื่อนที่มีอาการปวดหลังมาก
เทคนิคการผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลังเป็นอย่างไร
เทคนิคการผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลังมี 2 วิธีหลัก ได้แก่
-
การผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลังวิธี Posterolateral Fusion เป็นวิธีการผ่าตัดแบบดั้งเดิมโดยเปิดแผลผ่าตัดขนาดใหญ่เพื่อใส่อุปกรณ์ยึดตรึงกระดูกสันหลัง (Pedicle Screw) และใส่ชิ้นกระดูกเพื่อกระตุ้นการเชื่อมข้อในบริเวณกระดูกสันหลังด้านข้าง (Transverse Process) การผ่าตัดชนิดนี้มีข้อจำกัดคือ ต้องเปิดแผลผ่าตัดขนาดใหญ่ เสียเลือดมาก ฟื้นตัวหลังผ่าตัดช้า และอัตราความสำเร็จในการเชื่อมข้อกระดูกไม่สูงมากนัก
-
การผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลังวิธี Interbody Fusion เทคนิคการผ่าตัดรูปแบบใหม่ โดยใช้เทคนิคการนำหมอนรองกระดูกสันหลังเดิมของผู้ป่วยออกเพื่อแทนที่ด้วยหมอนรองกระดูกเทียมและวัสดุกระตุ้นการเชื่อมกระดูก การผ่าตัดวิธีนี้ไม่จำเป็นต้องเปิดแผลใหญ่จึงมีอัตราการเสียเลือดน้อยกว่า ฟื้นตัวเร็วกว่า และมีอัตราความสำเร็จในการเชื่อมข้อกระดูกสูงกว่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิม เทคนิคการผ่าตัดวิธีนี้แพร่หลายและได้รับการยอมรับให้เป็นมาตรฐานการผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลังในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและประเทศในยุโรป ซึ่งเทคนิคการผ่าตัด Interbody Fusion ยังแบ่งออกเป็นหลายเทคนิคตามลักษณะการผ่าตัด ได้แก่ PLIF, TLIF, DLIF, ALIF และ OLIF การผ่าตัดเทคนิคนี้ต้องใช้บุคลากรที่มีความชำนาญและฝึกฝนมาโดยตรงและต้องใช้อุปกรณ์ในการผ่าตัดที่พิเศษกว่าการผ่าตัดแบบปกติ
ป้องกันกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท
-
เลี่ยงการยกของหนักมากติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
-
ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์ช่วยป้องกันโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาทได้
-
บริหารร่างกายเสริมกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรงเสมอ เพราะกล้ามเนื้อหลังพยุงกระดูกสันหลังไม่ให้เคลื่อนง่าย
-
ในนักกีฬาอาชีพหากปวดหลังบ่อย ๆ ควรรีบตรวจเช็กโดยเร็วก่อนลุกลามเรื้อรัง
-
ปรับอิริยาบถให้เหมาะสม นั่งหลังตรงพิงพนัก เท้าสองข้างวางราบกับพื้น ยืนหลังตรงในท่าที่สบาย หมั่นเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ ไม่อยู่ท่าเดิมนานเกินไป
เลือกโรงพยาบาลมาตรฐาน ERAS รักษากระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท
องค์ความรู้และวิวัฒนาการด้านการแพทย์พัฒนาขึ้นมาก ทำให้การผ่าตัดรักษาโรคกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาทมีประสิทธิภาพและให้ผลลัพธ์ในการรักษาที่ดีกว่าในสมัยก่อน โดยเฉพาะการผ่าตัดรักษากระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาทที่ศูนย์กระดูกสันหลัง โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล โรงพยาบาลเพื่อกระดูกและสมองเป็นการผ่าตัดรักษาที่ได้มาตรฐานระดับสากล แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว กลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็ว ซึ่งมาตรฐานนี้เรียกว่า ERAS หรือ Enhanced Recovery After Surgery Protocols
ERAS หรือ Enhanced Recovery After Surgery คือ การผ่าตัดรักษาผู้ป่วยกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาทเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว โดยต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของบุคลากรทางการแพทย์จากหลากหลายแผนก (Multidisciplinary Approach) ดังนี้
-
ทีมแพทย์ผ่าตัด ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนขณะผ่าตัดและผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว แพทย์จะพิจารณาการผ่าตัดแบบ “MISS” หรือ “Minimally Invasive Spine Surgery” การผ่าตัดแผลเล็กด้วยเทคนิคและอุปกรณ์เสริมพิเศษที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อกล้ามเนื้อที่แผ่นหลังน้อยที่สุด ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วกว่าวิธีการผ่าตัดแบบเดิมและกลับบ้านได้เร็วขึ้น
-
ทีมวิสัญญีแพทย์ ด้วยเทคนิคการดมยาสลบและการให้ยาแก้ปวดแบบพิเศษตาม ERAS Protocols ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับผลข้างเคียงจากยาสลบและยาแก้ปวดในกลุ่มมอร์ฟีนน้อยลง ผู้ป่วยสามารถลุกเดินออกจากเตียงและกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้น
-
ทีมแพทย์กายภาพบำบัด อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญและมีผลต่อผลลัพธ์การผ่าตัดกระดูกสันหลังโดยวิธี ERAS ทีมแพทย์กายภาพบำบัดจะเข้าร่วมประเมินและพูดคุยกับผู้ป่วยตั้งแต่ช่วงก่อนผ่าตัดเพื่อแนะนำและสอนวิธีการเตรียมร่างกายก่อนผ่าตัด และช่วยทำกายภาพบำบัดเพื่อให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วในระยะหลังผ่าตัด
-
ทีมอายุรแพทย์ มีบทบาทสำคัญทั้งในช่วงเตรียมตัวก่อนผ่าตัดและหลังผ่าตัด โดยการตรวจวินิจฉัยและให้ยาควบคุมในผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคลิ่มเลือดอุดตัน เพื่อให้การผ่าตัดเป็นไปด้วยความราบรื่น
-
ทีมพยาบาล เภสัชกร และนักโภชนาการ เป็นกลุ่มที่สำคัญและใกล้ชิดกับผู้ป่วยมากที่สุด เพราะการผ่าตัดตามมาตรฐาน ERAS ต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษมากกว่ามาตรฐานการผ่าตัดแบบปกติ รวมไปถึงต้องมีความเคร่งครัดในเรื่องการเลือกใช้ยาและการควบคุมโภชนาการของผู้ป่วยทั้งในช่วงก่อนและหลังการผ่าตัดอีกด้วย
กระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาทพบได้ทั้งจากความเสื่อมความไม่สมบูรณ์และอุบัติเหตุดังนั้นหากมีอาการปวดหลังและปวดร้าวลงขาอย่าปล่อยทิ้งไว้ควรรีบพบแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อเพื่อตรวจวินิจฉัยโดยเร็วจะได้ทำการรักษาถูกวิธีก่อนเรื้อรัง