การผ่าตัดรีแพร์กระชับช่องคลอด (Posterior Repair)

การผ่าตัดรีแพร์กระชับช่องคลอด

          จากประสบการณ์ 17 ปี ของการผ่าตัดตกแต่งทางนรีเวช ของหมอเอง พบว่าคนไข้ที่มาปรึกษาและผ่าตัดตกแต่งทางนรีเวช 65% มาผ่าตัดรีแพร์กระชับ โดยอาการหลักคือ หลวม มีเสียงลม ไม่กระชับ, 20% มาตกแต่งเลเบีย หรือตกแต่งปีกผีเสื้อ เนื่องจากแคมยื่นไม่สวยงาม เคือง, ที่เหลืออีก 15% มาเติมฟิลเลอร์ให้อวบอิ่ม มายิงเลเซอร์ลดเม็ดสี มาใช้เลเซอร์หรือพลังงานคลื่นวิทยุ (Vaginal rejuvenation) โดยหลักการวิธีนี้หวังผลเพื่อลดปัสสาวะเล็ดจากหูรูดท่อปัสสาวะหย่อนเป็นหลัก ในแง่ความกระชับจะได้ผลชั่วคราวเมื่อเทียบกับการผ่าตัดรีแพร์ ครับ

          ความไม่กระชับของช่องคลอดเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้หญิง ทั้งในด้านความมั่นใจ ความสัมพันธ์ทางเพศ และความรู้สึกไม่สบายขณะใช้ชีวิตประจำวัน แม้จะมีความคล้ายคลึงกับภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน (Pelvic Organ Prolapse) แต่ความไม่กระชับของช่องคลอดที่ไม่มีการหย่อนของอวัยวะภายใน ถือเป็นภาวะที่แตกต่างและควรได้รับการวินิจฉัยและดูแลอย่างเหมาะสม หนึ่งในวิธีการรักษาที่ได้ผลชัดเจนคือการผ่าตัดรีแพร์ด้านหลังหรือ Posterior Vaginal Repair


ควรแยกภาวะช่องคลอดไม่กระชับออกจากภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน

  • ช่องคลอดไม่กระชับ (Vaginal laxity): เกิดจากการหย่อนตัวของผนังช่องคลอดด้านหลังหรือเนื้อเยื่อรอบๆ โดยไม่มีการยื่นของอวัยวะภายใน เช่น มดลูก กระเพาะปัสสาวะ หรือทวารหนัก ออกมาทางช่องคลอด อาการมักเป็นความรู้สึกหลวม ไม่กระชับ โดยเฉพาะขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน (Pelvic Organ Prolapse): เป็นการที่อวัยวะภายใน เช่น กระเพาะปัสสาวะ มดลูก หรือลำไส้ เคลื่อนต่ำและดันออกมาทางช่องคลอด ผู้ป่วยอาจรู้สึกก้อนดันออกมา เจ็บหน่วง หรือมีปัญหาในการขับถ่ายและปัสสาวะ

สาเหตุของความไม่กระชับในช่องคลอด

  1. การคลอดบุตรทางช่องคลอด: โดยเฉพาะการคลอดทารกตัวใหญ่ หรือการคลอดหลายครั้ง ทำให้เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อในช่องคลอดยืดออก
  2. อายุที่เพิ่มขึ้นและวัยหมดประจำเดือน: ส่งผลต่อฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลง ทำให้เนื้อเยื่อบางลงและสูญเสียความยืดหยุ่น
  3. พันธุกรรม: บางคนมีพันธุกรรมที่ทำให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพันหย่อนง่าย
  4. กิจกรรมที่เพิ่มแรงดันในช่องท้อง: เช่น การยกของหนักเรื้อรัง ไอเรื้อรัง หรือท้องผูกเรื้อรัง

วิธีการรักษาความไม่กระชับของช่องคลอด

  1. การรักษาโดยไม่ผ่าตัด • การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel exercise)
    • การใช้เลเซอร์หรือพลังงานคลื่นวิทยุ (Vaginal rejuvenation) วิธีนีได้ ผลชั่วคราว ขึ้นอยู่กับ ความกว้างของช่องคลอดตั้งต้น โดยทั่วไปใช้เพื่อลดปัสสาวะเล็ดแบบกล้ามเนื้อหูรูดหย่อนเป็นหลัก
    • การใช้ฮอร์โมนเฉพาะที่ เช่น ครีมเอสโตรเจน
  2. การรักษาโดยการผ่าตัด: Posterior Vaginal Repair (Posterior Colporrhaphy)
    • เป็นการซ่อมแซมผนังช่องคลอดด้านหลัง โดยตัดเย็บเนื้อเยื่อที่หย่อนให้ตึงกระชับมากขึ้น
    • เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไม่กระชับมาก และไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบไม่ผ่าตัด
    • การผ่าตัดมักทำร่วมกับการซ่อมแซมฝีเย็บหากมีความเสียหายร่วมด้วย
    • การผ่าตัดสามารถทำแบบผู้ป่วยนอกหรือพักฟื้นระยะสั้น และมีโอกาสหายเป็นปกติได้สูง

ควรพิจารณาการผ่าตัดเมื่อใด?

การผ่าตัดรีแพร์ช่องคลอดควรพิจารณาเมื่อ:

  • มีอาการหลวมของช่องคลอดมากจนกระทบต่อคุณภาพชีวิตหรือความสัมพันธ์ทางเพศ
  • ลองวิธีไม่ผ่าตัดแล้วไม่ได้ผล
  • ไม่มีภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนที่ต้องแก้ไขร่วม
  • ต้องการผลลัพธ์ระยะยาวมากกว่าการใช้เครื่องแบบไม่ผ่าตัด

ความเสี่ยงและข้อควรระวัง

ปัจจุบันราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย แนะนำว่า หลักฐานการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการตกแต่งทางนรีเวชยังมีจำกัด ทำให้ไม่มีผลการศึกษาในระยะยาว สตรีที่ต้องการตกแต่งทางนรีเวชควรได้รับข้อมูลถึงข้อดีข้อเสีย และความเสี่ยงของการผ่าตัด ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ เช่น

  • โอกาสในการติดเชื้อ การเสียเลือด ควรดูแลแผลตามคำแนะนำแพทย์
  • โอกาสแผลเป็น อาจเกิดขึ้นได้ในบางกรณี
  • โอกาสเกิดความรู้สึกเปลี่ยนไป เช่น อาการเจ็บหลังผ่าตัด ซึ่งเกิดขึ้นได้น้อย

สรุป

การผ่าตัด Posterior Repair เป็นทางเลือกหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้หญิงที่มีปัญหาความไม่กระชับของช่องคลอด โดยควรแยกจากภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน การประเมินอย่างถูกต้องโดยสูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสม ทั้งนี้ควรพิจารณาปัจจัยด้านสุขภาพร่วมด้วยเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด


เอกสารอ้างอิง (References)

  1. Bump RC, Norton PA. Epidemiology and natural history of pelvic floor dysfunction. Obstet Gynecol Clin North Am. 1998.
  2. Barber MD. Symptoms and outcome measures of pelvic organ prolapse. Clin Obstet Gynecol. 2005.
  3. Nygaard I, et al. Prevalence of symptomatic pelvic floor disorders in US women. JAMA. 2008.
  4. Maher C, Feiner B, Baessler K, Schmid C. Surgical management of pelvic organ prolapse in women. Cochrane Database Syst Rev. 2013.
  5. Pauls RN. Impact of vaginal childbirth on pelvic floor disorders. Obstet Gynecol Clin North Am. 2008.

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และ นัดหมายแพทย์ได้ที่
คลินิกผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช
แผนกสุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพขอนแก่น
โทร. 043-042787

เขียนบทความโดย
นพ.สิทธิพงศ์ ถวิลการ
ชำนาญพิเศษ: สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา (Obstetrics and Gynecology)
เฉพาะทาง: การผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช (Gynecologic Endoscopy)

Privacy Settings